บนโซเชียลฯ แชร์ ผู้ที่ถูกรางวัลจากแพลตฟอร์มออนไลน์เอกชน รางวัลใหญ่ไม่ได้ขึ้นเงินกับสำนักงานสลากฯ เอง อาจไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ และถูกประเมินภาษีเงินได้สูงถึง 35% พบประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียงเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา
วันนี้ (20 ธ.ค.) บนโซเชียลฯ มีการแชร์ข้อความจากผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ระบุว่า “แจ้งข่าวร้ายให้ผู้ที่ถูกรางวัลจากแพลตฟอร์มออนไลน์เอกชนทราบครับ ผู้ที่ถูกรางวัลใหญ่ แต่ไม่ได้ขึ้นเงินกับสำนักงานสลากฯ เอง แต่ให้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ตัวท่านเองซื้อขึ้นเงินรางวัลให้ โดยไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆ จากท่าน โดยอ้างว่าจ่ายภาษีให้แทนนั้น ท่านจะไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นะครับ
ถ้าท่านถูกรางวัลตั้งแต่ 6 ล้านบาทขึ้นไป ท่านจะต้องถูกสรรพากรประเมินภาษีเงินได้สูงถึง 35% ยกตัวอย่างเช่น ถูกรางวัลที่ 1 รับ 6 ล้าน ต้องเสียภาษี 2.1 ล้านบาท เพราะกฎหมายยกเว้นให้เฉพาะคนที่ขึ้นเงินกับสำนักงานสลากเท่านั้น คำยืนยันจากประธานบอร์ดสำนักงานสลากฯ (อธิบดีกรมสรรพากร) และ ผอ.สำนักงานสลากฯ
ป.ล.ช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบด้วยครับ”
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวตรวจสอบเรื่องราวดังกล่าว พบว่าเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวจากกรมสรรพากร ระบุว่า อยู่ระหว่างพิจารณากรณีที่แพลตฟอร์มขายสลากออนไลน์ของเอกชนหลายราย ใช้วิธีการทางการตลาด โดยนำเงินสดไปมอบให้ลูกค้าในกรณีที่ถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวนมาก เช่น รางวัลที่ 1 หลายใบ เงินรางวัลหลาย 10 ล้านบาท เพื่อจูงใจให้ลูกค้ามาซื้อสลาก โดยอ้างว่าไม่หักค่าใช้จ่าย ที่ผ่านมามีการตั้งข้อสังเกตว่า การนำเงินสดไปมอบให้ลูกค้าโดยตรงอาจเข้าข่ายเป็นเงินได้ ต้องนำมาคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีหรือไม่
ต่างจากการนำสลากมาขึ้นเงินรางวัลเอง ที่จะเสียเฉพาะค่าอากรแสตมป์ 0.5% ของเงินรางวัล เช่น รางวัลที่ 1 ที่ 6 ล้านบาท เสียอากรแสตมป์ 30,000 บาท แต่ประมวลรัษฎากร จะมีการยกเว้นไม่ต้องมาเสียภาษีเงินได้อีก หากพิจารณาแล้วว่า การรับเงินรางวัลในลักษณะดังกล่าว ต้องเสียภาษีเงินได้ ก็อาจจะมีผลย้อนหลังกับผู้ที่ได้รับเงินรางวัลจากแพลตฟอร์มเอกชนไปก่อนหน้านี้ รวมถึงผู้ที่ได้รับเงินรางวัลในปีนี้ทั้งหมดที่ต้องยื่นแบบคำนวณรายได้ เพื่อใช้เสียภาษี แต่กรมฯ ต้องไปดูให้ชัดเจนก่อนว่าวิธีการจ่ายเงินรางวัลของแพลตฟอร์มเอกชนให้กับลูกค้า ว่ามีรายละเอียดเป็นอย่างไร
ขณะที่ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะประธานกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา กล่าวถึงกรณีผู้ถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ อาจต้องเสียภาษีเงินได้ ว่า หลักการถ้ามีเงินได้ถึงเกณฑ์ก็ต้องมีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง ถ้ามีคนเอาเงินมาให้ ถือเป็นได้หรือไม่ ต้องไปดู ต่างจากการซื้อสลากดิจิทัลผ่านแอปเป๋าตัง ที่คนถูกรางวัลมาขึ้นเงินรางวัล เป็นชื่อคนรับรางวัล จ่ายภาษีตรงตัวจากอากรแสตมป์ 0.5%
ทั้งนี้ กฎหมายระบุชัดว่า การถูกรางวัล คนที่ถือสลากต้องถือมารับรางวัลเอง ดังนั้นเวลามาขึ้นเงิน คนที่ไม่โดนภาษีคือคนที่มาขึ้นเงิน ส่วนกรณีที่มาขึ้นเงินรางวัลกับกรุงไทย ธ.ก.ส. ออมสิน ที่มีการระบุว่าต้องเสียภาษีด้วยหรือไม่ ถือเป็นจ่ายตรง คนรับเงินรางวัลที่ถือสลากมา มีการจ่ายอากรแสตมป์ มีใบกำกับภาษีครบหมด
ถึงกระนั้น พบว่ามีแพลตฟอร์มเอกชนรายหนึ่ง แถลงข่าวตอบโต้เรื่องดังกล่าว อ้างว่าหากลูกค้าถูกรางวัลกับแพลตฟอร์มของตนเอง ทางบริษัทจะโอนเงินให้เต็มจำนวนโดยไม่หักค่าใช้จ่าย ส่วนสลากกินแบ่งรัฐบาลใบจริง จะรับมอบอำนาจจากลูกค้าให้ไปขึ้นเงินรางวัลโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะอำนวยความสะดวกจ่ายภาษีให้กับลูกค้า และกรณีที่ถูกรางวัลที่ 1 จะไปลงบันทึกประจำวัน ถ้ายังต้องเสียภาษี ยินดีจะจ่ายให้ ไม่อยากให้ลูกค้ากังวลกับข่าวที่เกิดขึ้น
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า สำหรับกรณีที่ถูกรางวัลที่ 1 ได้รับเงินรางวัล 6 ล้านบาท แล้วนำสลากตัวจริงไปขึ้นเงินรางวัลที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี ถ้าเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาล จะเสียค่าอากรแสตมป์ 30,000 บาท หรือคิดเป็น 0.5% ของเงินรางวัลที่ได้รับ และจะได้รับเงินสั่งจ่ายเป็นเช็ค 5,970,000 บาท ส่วนสลากการกุศล จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 60,000 บาท หรือคิดเป็น 1% ของเงินรางวัลที่ได้รับ แต่ไม่เสียค่าอากรแสตมป์ และจะได้รับเงินสั่งจ่ายเป็นเช็ค 5,940,000 บาท โดยจะมีหลักฐานเป็นใบรับเงินรางวัลและคิดเงินอากร/ภาษีไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งผู้ถูกรางวัลจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่ต้องนำเงินรางวัลไปยื่นภาษีประจำปีอีก
เวลานี้ ชาวไทยจดจำภาพ ‘นอท กองสลากพลัส’ กับชุดสูทสีแดงได้ติดตา ก่อนหน้านี้ นอท หรือ พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ เคยเป็นพนักงานส่งเอกสาร เขาเล็งเห็นความสำคัญของออนไลน์ กระโจนมาทำธุรกิจอย่างต่อเนื่องจนมาสู่ กองสลากพลัส
- ‘นอท กองสลากพลัส’ ที่ทุกคนจดจำได้จากภาพชุดสูทสีแดง เขาเคยผ่านทำงานเป็นพนักงานส่งเอกสารเงินเดือนหลักพัน ก่อนเข้ามาทำธุรกิจออนไลน์
- นอท ปั้นเพจ ‘กูว่าแล้วมันต้องยิง’ จนกลายเป็นเพจกีฬาที่มีผู้ติดตามหลักแสนเพจแรกของไทย
- ด้วยความสนใจเรื่องออนไลน์ และการจับกระแสความเปลี่ยนแปลงในสังคมทำให้เขาเริ่มต้น ‘กองสลากพลัส’
หากจะมีโทรศัพท์หนึ่งสายที่เปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล ปลายสายนั้นอาจจะเป็นเสียงของ ‘นอท กองสลากพลัส’ หรือ พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ที่โทรหาคุณในวันที่ 1 และ 16 ของแต่ละเดือน แจ้งว่าคุณคือผู้โชคดีที่ถูกรางวัลที่ 1 จากกองสลากพลัส
ต้องยอมรับว่าในขณะที่เศรษฐกิจกำลังถดถอย ความหวังที่จะหลุดกับดักพ้นบ่วงความจน การถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่นั้นเปลี่ยนชีวิตของใครหลาย ๆ คน แล้วสำหรับนอท กองสลากพลัส ชีวิตของเขา ‘เปลี่ยน’ จากวันแรกอย่างไรบ้างกว่าจะมาถึงวันนี้
นอท เคยเล่าชีวิตช่วงเริ่มต้นว่า เขาเคยทำงานเป็นพนักงานส่งเอกสารที่ได้เงินเดือนเพียงหลักพัน ก่อนที่จะเริ่มเรียนรู้ในโลกของออนไลน์เมื่อ 10 กว่าปีก่อน โดยศาสตร์ที่นอท ให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือเรื่องของ SEO (Search Engine Optimization) หรือระบบการสืบค้นคำผ่านเว็บค้นหาข้อมูล นอท เคยให้เหตุผลว่า เขาเชื่อว่าพฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนไป จะหันมาซื้อสินค้าบนออนไลน์กันมากขึ้น
ดังนั้น เพื่อให้เพิ่มโอกาสในการขายการทำ SEO เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเขาคิดถูกหากมองย้อนไปสัก 10 กว่าปีก่อน ใครบ้างจะกล้าซื้อเสื้อที่ยังไม่ได้ลองผ่านออนไลน์
ในบทสัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘ขอบสนามถามตรงๆ’ เขากล่าวว่า อีกธุรกิจหนึ่งที่เขาเห็นโอกาสในช่วงนั้นก็คือ การทำ Affiliate Network หรือคนที่ทำหน้าที่ตัวกลางเชื่อมระหว่างเจ้าของสินค้าหรือร้านค้า (Advertiser) และผู้เผยแพร่โฆษณา (Publisher) ให้มาซื้อสินค้า โดยนำโค้ดที่ได้จากตัวกลางไปใช้ แล้วเมื่อปิดการขายได้ เจ้าของหรือร้านค้าจะจ่ายเปอร์เซ็นต์ให้ นอท เล่าว่า เขาทำกับทางร้านค้าใน amazon.com จนมีรายได้สะสม 2 ล้านบาท แต่ติดขัดทางธุรกรรมทำให้แอ็กเคานต์ (Account) ถอนเงินออกมาไม่ได้
และต่อมา เขามองว่า สิ่งที่จะมาแทนเว็บไซต์ก็คือ Facebook ช่วงปี 2013 ที่คนยังไม่กระโดดลงมาทำคอนเทนต์ฟรีให้คนอ่านบน Facebook เขามองว่าต่อไปมันจะสร้างรายได้ได้ จึงมานั่งคิดว่า แล้วเพจแบบใดที่จะมีฐานแฟนจำนวนมาก จนไปพบว่าคนไทยนั้นคลั่งไคล้กีฬาฟุตบอลมาก โดยเฉพาะฟุตบอลอังกฤษ จึงตัดสินใจไปขอซื้อเพจกีฬาที่ชื่อว่า ‘กูว่าแล้วมันต้องยิง’ ที่มีผู้ติดตามขณะนั้นหลักพันด้วยราคา 18,000 บาท และปั้นจนกลายเป็นเพจกีฬาที่มีผู้ติดตามหลักแสนเพจแรกของไทย
‘กูว่าแล้วมันต้องยิง’ นี่เองเป็นเหมือนโรงเรียนชีวิตที่นอท ต้องเรียนรู้ใหม่ ในช่วงแรก เขาจ้างเจ้าของเพจเดิมทำ แต่สักพักเจ้าของเก่าเลิกทำ เขาต้องนับหนึ่งใหม่ เพราะด้วยความไม่ได้ดูฟุตบอลและไม่ได้เรียนสายโปรดักชั่นมา สิ่งที่นอท ต้องเรียนรู้ใหม่ก็คือ การต้องใช้ชีวิตแบบที่ตอนดึกต้องตื่นมาเพื่ออัดไฮไลต์ฟุตบอล เรียนรู้วิธีการตัดต่อเรียบเรียง
แม้กระทั่งการหาโปรแกรมเพื่อเจาะลิขสิทธิ์ที่ถูกล็อกไม่ให้ถ่ายทอด โดยเขาทำคนเดียวในบ้านที่อยุธยา เพื่อที่จะได้เทปการแข่งขันคู่นั้น ๆ มาตัดไฮไลต์
ใครเลยจะรู้ว่าวันหนึ่งคนที่ทำธุรกิจแบบเขา จะกลายมาเป็นคนที่ควักเงินซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอล AFF Cup ให้คนไทยได้ดู โดยบอกกับคนไทยว่า “คนไทยไม่ควรดูเถื่อนละเมิดลิขสิทธิ์”
ช่วงแรกของธุรกิจก็ยังไม่สามารถประคับประคองได้ ดังนั้น สิ่งที่นอท ทำก็คือเปิด ‘เว็บหนังผู้ใหญ่’ แบบบอกรับสมาชิกเดือนละ 300 บาทเพื่อประคับประคองตนเอง
ก่อนที่เกือบ 1 ปีต่อมาจะเป็นขาขึ้นของนอท เมื่อเพจฟุตบอลของเขาเริ่มมีโฆษณามาลงโดยเฉพาะการรับโฆษณาจากธุรกิจพนันออนไลน์ ซึ่งนอท เล่าว่าสร้างรายได้เดือนละหลักแสนให้เขา และมีคนมาชวนว่า อยากให้ทำเพจพนันออนไลน์ โดยเป็นกลุ่มธุรกิจที่เป็นคนมีสีหนุนหลังมีหุ้นส่วนกัน 3คน
ด้วยความเป็นคนใจใหญ่กล้าได้กล้าเสีย นอท ขอเสนอตัวว่า จะทำให้ก่อนและถ้าสามารถทำให้ถึงเป้าที่กำหนดได้จะขอแบ่งเป็นหุ้น 25% แทน แต่กลับกลายเป็นว่า กลุ่มทุนนั้นมีการบ่ายเบี่ยงในการแบ่งหุ้นให้กับนอท หนำซ้ำ นอท เล่าในรายการ ‘ขอบสนามหามมาเล่า’ ว่า เขาถูกเรียกไปเคลียร์โดยมีคนถือปืนยืนคุมเชิง และขอให้ยกเพจที่เขาปั้นขึ้นมาให้คนกลุ่มนั้นโดยสละการเป็นแอดมินเพจ
เขาเลือกที่จะรักษาชีวิตและเดินจากมา ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่ปาย แม่ฮ่องสอน และเซตทีมงานกลับมาเปิดเพจ ‘กูว่าแล้วมึงต้องยิง แท้’ แข่งกับเพจเดิม ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวสัก 5 – 6 ปีก่อน กลายเป็นดราม่าในโลกออนไลน์
จนถึงจุดหนึ่ง เขามองว่าเพจกีฬาเริ่มเยอะขึ้นทำให้เม็ดเงินโฆษณาของเขาเริ่มน้อยลง ไม่สามารถดูแลลูกทีมได้ทั้งหมดจึงปรับบทบาทตัวเองไปเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์สำหรับคนที่สนใจทำเว็บไซต์หรือแฟนเพจ
แต่จุดที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาลก็คือการเข้ามาถึงของ Facebook Group ซึ่งเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนของคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน นอทขยับอีกครั้งโดยคิดว่าคนไทยสนใจเรื่องอะไร และเขามองว่า ‘หวย’ คือคำตอบนั้น โดยเริ่มจากการทำกรูป (Group) สำหรับคนที่สนใจหวยให้เข้ามาแบ่งปันเลขเด็ดก่อน
เขาเริ่มเห็นพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ บางครั้งมีเลขที่อยากจะซื้อ แต่ไม่สามารถหาซื้อได้ เขาได้พูดคุยกับเลขาฯ ว่า ตลาดหวยขณะนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
เลขาฯ แนะนำว่า ในขณะนั้น เวลาซื้อหวยแบบออนไลน์คือโทรไปหาแผงหวยที่รู้จักเพื่อให้เก็บเลขเด็ดไว้ แล้วค่อยถ่ายรูปส่งมาทางไลน์ว่า เราเป็นเจ้าของหวยนั้น
จุดนี้เองเป็นสิ่งที่เขาเห็นโอกาสในการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคว่า จากที่เราจะต้องเดินตามแผงหวยเพื่อหาเลขเด็ด แล้วทำไมเราไม่ทำแผงหวยออนไลน์ที่คนสามารถเลือกเลขที่อยากซื้อได้เลยทันที
เขาให้ทีมงานเริ่มตระเวนตามแผงหวยเพื่อเก็บข้อมูลว่าขายอย่างไร ขายเท่าไหร่ ส่วนต่างคือเท่าไหร่ และใช้เวลาเพียง 20 กว่าวันในการทำ กองสลาก.คอม ในปี 2563
แต่ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เจ้าตลาดของหวยออนไลน์ก็คือ ‘หวยมังกรฟ้า’ ของบริษัท มังกรฟ้า ลอตเตอรี่ จำกัด ก่อนที่ต่อมา หวยมังกรฟ้าจะถูกสกัดดาวรุ่ง มีเรื่องต้องขึ้นโรงขึ้นศาลโดยการถูกกล่าวหาเรื่องของการขายหวยเกินราคาช่วงต้นปี 2565 โดยเป็นผลงานของ ‘แรมโบ้อีสาน’ เสกสกล อัตถาวงศ์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา ก่อนที่ต่อมาจะมีการยกฟ้องหวยมังกรฟ้า
จังหวะที่หวยมังกรฟ้ากำลังเสียหลัก เป็นโอกาสอันดีของหวย กองสลาก.คอม และ ‘กองสลากพลัส’ ในการช่วงชิงฐานลูกค้า โดยใช้งวด 16 เมษายน 2565 เป็นการเปิดตัวโดยขายสลาก 80 บาท ใช้คอนเซปต์ ‘เป็นมิตรกับผู้ค้า ราคาถูกใจคอหวย’
อีกทั้งยังรับผิดชอบจ่ายภาษีส่วนต่างให้กับผู้ที่ถูกรางวัลได้รับเงินเต็ม ๆ ไม่มีการหัก ทำให้ดึงดูดคอหวยว่าสักวันอยากเป็นคนที่ได้รับสายจาก ‘นอท กองสลากพลัส’ บ้าง
แต่จุดแข็งที่กองสลากพลัสก็คือการทำ Personal Branding ตัวเองของ ‘นอท กองสลากพลัส’ ทั้งป้ายบิลบอร์ด โฆษณาบนรถไฟฟ้า รวมไปถึงคลิปไลฟ์สดการเดินทางไปมอบเงินสด ๆ ให้กับผู้ที่ถูกรางวัลที่ 1 ด้วยตนเองในเครื่องแบบที่จำได้ติดตากับชุดสูทสีแดง
รวมไปถึงการเข้าไปสปอนเซอร์กิจกรรมต่าง ๆ ที่มหาชนให้ความสนใจทั้งโฆษณาฟุตบอลโลก การซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอล AFF Cup และล่าสุด ประกาศว่าจะลงทุนกับทีมฟุตบอล
บททดสอบยังมีอีกหลายด่าน ในวัย 42 ปี เป็นย่างก้าวที่น่าจับตาจากคนที่เคยอยู่ในโลกสีดำ ก้าวข้ามมายังโลกสีเทา และวันนี้ไฟสปอตไลท์กำลังจับจ้องมาที่เขามากที่สุด
ต้องคอยดูว่า ชีวิตของเขาจะโลดแล่นต่อไปในจุดใด และจะต้องเจอบททดสอบอะไรหลังจากนี้ เพราะเมื่อเดินเข้าสู่สปอตไลท์ย่อมเป็นจุดสนใจของสายตาทั้งมิตรและศัตรูของเขาเช่นกัน อย่างเมื่อพฤศจิกายน 2565 นายสันธนะ ประยูรรัตน์ และพวก 4-5 คน บุกรุกเข้าไปภายในสำนักงานย่านทองหล่อของกองสลากพลัส จนกลายเป็นเรื่องฟ้องร้องกัน
จับตาว่า ปีต่อ ๆ ไป ชีวิตของเขาจะ ‘เปลี่ยน’ ไปอย่างไร แต่ดูเหมือนว่าเขา ‘สนุกกับการเปลี่ยนแปลง’ อยู่เสมอ